วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565

ผู้ปกครองแบบไหนที่ติวเตอร์ไม่Love

         


        ได้อ่านเคสที่เป็นนักเรียนไปแล้ว คราวนี้เรามาดูเคสผู้ปกครองกันบ้าง แต่ละคนที่เจอมานี่สุดยอดแห่งผู้ปกครองชั้นเลวที่ติวเตอร์ไม่อยากเข้าใกล้ สมัยนี้อย่าคิดว่าคนที่มีลูกมีครอบครัวแล้วจะเป็นคนที่มีเหตุผลกันหมดทุกคน เพราะเท่าที่เจอผู้ปกครองมา บางคนไม่มีความเป็นผู้ใหญ่+ไม่มีหัวคิดก็เยอะแยะไป

        ไปอ่านเลยดีกว่าละกัน


1. เอาแต่เข้าข้างลูกตัวเองอย่างเดียวแบบไม่ลืมหูลืมตา

        กรณีนี้เจอตอนที่สอนหนังสือในโรงเรียนมัธยมแห่งแรก คือมีนักเรียนหญิงชั้นม.5อยู่คนหนึ่งคะแนนสอบไม่ผ่าน ติด0 ตอนรวมคะแนนเก็บเพื่อที่จะตัดเกรดเราคิดคะแนนเก็บเด็กคนนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่พอเกรดออกมาเค้ากลับรับไม่ได้ ถ้าเป็นเด็กคนอื่นก็มาขอซ่อมตามปกติ แต่เด็กคนนี้ให้พ่อโทร.มาบอกเราว่า ลูกเค้ารู้สึกยังไง(เพื่อ??) หาว่าเราลำเอียง เราก็ต้องบอกพ่อเด็กไปว่า"มันก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนค่ะ ในเมื่อคะแนนไม่ถึงก็ต้องมาแก้ 0 แต่สำหรับน้องคนนี้งานซ่อมจะไม่เยอะค่ะ" คือเราต้องใจเย็นและเอาเหตุผลตะล่อมผู้ปกครองให้ได้(สอนทั้งห้องไม่มีปัญหา มีแต่เด็กคนนี้คนเดียวที่จ้องจะปัญหาเยอะกับเรา ไม่รู้เป็นไร)

        อีกเคสหนึ่งเป็นนักเรียนหญิงชั้นม.1 ห้องICP(ห้องเรียนโปรแกรมพิเศษภาษาจีน) แค่ตอนสอนเราอาจจะไม่ได้มองหน้าเด็กทุกคน เด็กคนนี้ก็หาว่าเมินใส่(งงมากกกกก เมินตอนไหนวะ??) เพราะเราคิดว่าการสอนแบบมัธยมไม่จำเป็นต้องคอยโอ๋เด็กแบบประถม อีกอย่างไม่ถนัดและไม่ชอบแนวการสอนแบบเด็กๆ ด้วย กลับบ้านคงเอาไปเล่าให้พ่อแม่ฟังแหละ ที่นี้พ่อเด็กบอกว่าจะเอาเรื่องเราถึงผอ.(เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ คราวหลังก็เลี้ยงลูกไว้ในกรงทองปิดตายซะเลยสิ) ไร้เหตุผลมาก ไม่รู้เป็นพ่อคนได้ไง แต่เอาจริงก็ให้แม่เด็กมาโรงเรียนเพื่อที่จะมาเจรจากับเราโชคดีที่แม่เด็กคนนี้มีเหตุผล ไม่เหมือนพ่อมัน เกลียดมากกกกก จากนั้นกลายเป็นคนเกลียดเด็กไปเลย ยิ่งเด็กอายุต่ำกว่าม.ปลายนี่อย่าเฉียดเข้ามาใกล้เลย เกลียด!


2. ยัดเยียดให้เราทำสิ่งที่เราทำให้ไม่ได้

        ที่เจอเยอะสุดก็คือ ผู้ปกครองมักจะชอบ Inbox เข้ามาถามเราว่ารับสอนภาษาจีนเด็กเล็กมั้ย ทั้งๆ ที่เขียนไว้ในประกาศชัดเจนแล้วนะว่า "คอร์สเรียนภาษาจีนสำหรับนักเรียนม.ปลาย มหาลัย วัยทำงาน" มีประโยคหรือตัวอักษรไหนที่เขียนว่า "รับสอนเด็กเล็ก" รึป่าว??? หากคุณมีหัวคิดซักนิดต้องรู้แล้วแหละว่าติวเตอร์เค้าไม่ได้รับ ไม่ใช่มา Inbox ถาม ขนาดลงรายละเอียดไปแล้วอย่างละเอียดยิบด้วยนะว่าไม่รับเพราะอะไร ก็ยังส่งข้อความเข้ามาถามกันอีก มีอยู่วันนึง ผู้ปกครองส่ง Inbox มาถามจนแทบไม่ได้กินข้าวเลย พอกำลังจะกินเดี๋ยวก็มีข้อความเข้ามาตลอด จากนั้นชักจะทนไม่ไหวกับความขี้ยัดเยียดไม่เข้าเรื่องของผู้ปกครอง เลยต้องแคปหน้าจอแล้วส่งให้อ่าน จากนั้นก็บล็อคไปเลย น่ารำคาญชะมัด อ่านหนังสือไม่ออกกันรึไง ถามอยู่ได้


3. พูดจาหว่านล้อม+ยัดเยียดให้เราสอน 

เคสแรก:

        มีผู้ปกครองอยู่คนนึงให้เราสอนลูกเค้า เด็กคนนี้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราไม่รับสอนนักเรียนช่วงอายุต่ำกว่าม.ปลาย ก็ยังจะเอามายัดเยียดให้เราสอน บอกว่า"ลูกพี่น่ารักนะ ใครๆ ก็อยากสอนลูกพี่"(เอ่อ.....ถามเรารึยังว่าเราอยากสอนรึป่าว) พอทดลองเรียนเสร็จแล้วเค้าตัดสินใจจะให้ลูกเค้าเรียนกับเรา ปรากฎว่าพอเรียนเข้าจริงๆ เด็กกลับสื่อสารกับเราไม่รู้เรื่อง สื่อสารภาษาไทยนะ แค่บอกว่า"ให้ถ่ายรูปหนังสือหน้าที่จะให้สอนมา เหล่าซือจะได้ไปเตรียมสอน" แต่เด็กกลับถ่ายรูปหน้าปกหนังสือมา ลำบากใจและเพลียหัวใจตลอดเวลาที่สอน แล้วเนื้อหาที่เด็กเอามาให้สอนเป็นเนื้อหาระดับมหาลัย แต่ให้เด็กป.5เรียน เครียดหนักกว่าเดิมอีก แค่สื่อสารพูดคุยกับเด็กคนนี้ปกติยังลำบากเลยแม่เด็กเอาแต่บอกเราว่าให้พูดจีนกับลูกเค้า เราเลยต้องพูดกับแม่เด็กไปตามตรงว่า "คุณแม่คะ เหล่าซือพูดปกติกับน้องยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลยนะคะ พอพูดภาษาจีนกับน้องเค้าก็เอาแต่ตอบว่า不知道ไม่รู้/不懂ไม่เข้าใจ อย่างเดียว แล้วคราวนี้จะให้สอนยังไงคะ ตัวเหล่าซือเองไม่ถนัดสอนเด็กอายุต่ำกว่าม.ปลายเป็นทุกเดิมอยู่แล้วด้วย" แม่เด็กบอกว่า "แม่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องพูดเลยค่ะ" เฮ้อออออ แล้วทำไมคุณไม่หาติวเตอร์ที่เค้าถนัดสอนเด็กประถมที่เรียนอินเตอร์ล่ะ??? ผู้ปกครองแบบนี้น่าจับมาอบรมซักเดือนนึง เอาให้หายเอ๋อไปเลย

เคส2:

        เป็นนักเรียนหญิงชั้นม.3 เรียนโรงเรียนอินเตอร์เช่นกัน แม่มาลงคอร์สภาษาจีนพื้นฐานกับภาษาจีนระดับต้นให้ ขนาดบอกผู้ปกครองอย่างละเอียดแล้วนะว่าแนวการสอนเราเป็นยังไง ถ้าเด็กอายุน้อยกว่าที่เรากำหนดเรียนกับเราไปเรื่อยๆ เกรงว่าเด็กจะเครียด เด็กก็ตั้งใจเรียนอยู่แต่พักหลังๆ ชักจะทำตัวไม่ค่อยน่ารัก คือ  ให้ทำแบบฝึกหัดก็ไม่ทำ ให้คัดตัวจีนส่งก็ไม่คัด พอให้พักครึ่ง 5 นาทีก็กลับมาเข้าเรียนต่อไม่ตรงเวลา โอเค เราไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะคุณทำตัวเอง พอแม่เด็กมาตามความเคลื่อนไหวในการเรียนของลูกเค้า แม่เด็กบอกว่าให้เราจี้ ให้ดุลูกเค้าได้เลย เราจึงบอกแม่เด็กไปว่า "ไม่จี้ค่ะ นักเรียนควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ค่ะ ถ้าเค้าไม่ทำการบ้านมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ใครก็ช่วยเค้าไม่ได้ค่ะ แล้วอีกอย่าง เหล่าซือไม่ถนัดสอนแนวเด็กๆ แบบนี้ด้วยค่ะ" เรื่องไรจะมานั่งจ้ำจี้จ้ำไช ถ้าไม่อยากเรียนกับเราพอหมดคอร์สก็ไปหาติวเตอร์คนใหม่ที่เค้าเคมีเข้ากับลูกคุณได้มาสอนแทนละกัน เบื่อโคตร ผู้ปกครองประเภทนี้


4. เห็นติวเตอร์เป็นพี่เลี้ยงเด็กและคนรับใช้

        อันนี้โดนตอนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เป็นคนแถวบ้านเรา(รวยสะด้วย)ให้ไปสอนลูกเค้าอายุ 9 ขวบ บอกตามตรงนะ กับบ้านนี้โกรธหลายเรื่องมาก ไอ้เราก็เตรียมสอนไปเต็มที่แค่สอนวิชาอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว ไหนยังจะต้องมาเหนื่อยดูแลลูกเค้าเล็กๆ อีก 2 คน ป่วนประสาทมากกกกกก ไหนจะสอนหนังสือ ไหนจะต้องมานั่งโอ๋ลูกคนเล็กที่เข้ามาป่วนเวลาเราสอนให้เงียบ ไหนจะต้องห้ามมวยเวลาที่ไอ้ 3 พี่น้องนี่ทะเลาะกัน พักหลังๆ แม่เด็กใช้ให้เราไปปลุกลูกเค้าขั้นมาจากที่นอนเพื่อมาเรียน เฮ้ย! เราไม่ใช่คนรับใช้นะเว้ย! คุณควรสอนลูกคุณให้รู้จักเวล่ำเวลา ควรให้ลูกคุณตื่นตั้งนานแล้ว และควรอบรมสั่งสอนให้ลูกคุณรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง ไม่ใช่เอาภาระที่ไม่ใช่เรื่องมาให้ติวเตอร์ทำแบบนี้ เป็นแม่ประสาอะไร ใช้ไม่ได้เอาซะเลย ตอนหลังเราทนไม่ไหวและโกรธมากจากพฤติกรรมของผู้ปกครองคนนี้ เลยบอกเค้าไปว่าสอนลูกเค้าไม่ได้แล้ว มีงานด่วนต้องทำ(คือกูไม่สอนลูกมึงแล้วนั่นแหละ น่าเกลียดมาก ถ้าต้องการบริการในส่วนนี้ก็จ้างคนรับใช้เพิ่มสิ รวยนักไม่ใช่เหรอ จะจ้างคนใช้เพิ่มซัก 20 คนมันก็แค่เศษเงินของคุณอยู่แล้ว มาจ้างติวเตอร์ทำไม) จากนั้นกลายเป็นคนเกลียดเด็กไปเลย เด็กเล็กๆ นี่อย่าเข้ามาใกล้เลย เดินหนีทันที สำหรับเราเด็กเล็กมันไมได้น่ารัก มันน่ารำคาญและน่าเบื่อมากกกกกกกกก


5. ทึกทักเองเอง ไม่ถามไถ่ที่มาให้ถ่องแท้ก่อน


        ถ้าดูจากภาพประกอบคงจะเข้าใจ คือ มีเด็กนศ.มหาลัยปี2 มาทดลองเรียนคอร์สติวสอบHSK5 เราก็สอนตามปกติ แต่พอถึงชม.ที่ 2 ของการทดลองเรียน(ตอนนั้นให้ทดลองเรียนฟรี 2 ชม.) เด็กคนนี้ไลน์บอกเราว่าพ่อไม่ให้ลงคอร์สเรียนกับเราเพราะเราอธิบายเป็นภาษาจีนไม่ได้ คือตรงงนี้มันทำให้เราฟิวส์ขาดทันที ผู้ปกครองรู้ได้ไงว่าเราอธิบายเป็นภาษาจีนไม่ได้ เพราะตอนแรกเค้าไม่ได้บอกก่อนว่าจะให้อธิบายเป็นภาษาจีน เนื่องจากลูกคุณมาทดลองเรียนคอร์สติวสอบเราจึงอธิบายเป็นภาษาไทยเพราะเราอยากให้นักเรียนเข้าใจ แต่ในเมื่อคุณมีทัศนคติแบบนี้เราไม่ขอลดตัวไปข้องเกี่ยวกับกับคนที่เอาแต่มองอะไรแค่ผิวเผินแบบคุณหรอก คุณมันเป็นแค่ผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้(จริงๆ อยากพูดหยาบกว่านี้)


6. ดูถูกความสามารถของติวเตอร์

        รายละเอียดย้อนอ่านข้อ 5 คนเรามันไม่ควรมาดูถูกกันแบบนี้หรอก หากคุณอยากรู้ว่าความสามารถเรามีแค่ไหน คุณก็ทดสอบความสามารถเราด้วยตัวคุณเองไปเลยสิ ไม่ใช่มาทำแบบนี้ ที่คุณพูดมาคุณก็ไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดด้วยว่าติวเตอร์ทำไม่ได้ มันเกิดจากความคิดไปเองของคุณทั้งนั้น แล้วก็ไปตัดสินความสามารถคนอื่นแบบไม่พิจารณาอะไรให้รอบคอบก่อน คุณรักลูกตัวเองน่ะถูกต้อง แต่เราก็มีพ่อแม่เหมือนกัน คุณรักลูกสาวตัวเองแต่มาดูถูกลูกสาวคนอื่นแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนสันดารไม่ดี+เห็นแก่ตัวหรอก และอยากบอกนศ.คนนั้นว่า "แย่นะ มีพ่อแบบนี้" แต่เราโชคดีที่พ่อแม่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น


7. ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่


        ย้อนอ่านข้อ5และข้อ6 หรือดูตามภาพประกอบก็ได้ แต่จากประสบการณ์ก็คือยีงมีผู้ปกครองบางคน(อีกเยอะ)ชอบดูถูกความสามารถของติวเตอร์โดยที่ยังไม่เห็นกับตาตัวเอง มันก็คือคนประเภทชอบฟังความข้างเดียวตัดสินอะไรแต่ฉาบฉวย ความเป้นผู้ใหญ่ไม่มีเลยแต่ดันมีลูกมีครอบครัวลูกตัวเองหรือครอบครัวตัวเองดีคนอื่นhereหมด คนแบบนี้เราไม่ลดตัวไปข้องเกี่ยวด้วยแล้วไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยวกับคนแบบนี้หรอก(หากไม่สมผลประโยชน์กัน)



8. เลี้ยงลูกไม่เป็น

        จากเคสเด็กป.5 โรงเรียนอินเตอร์ที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง พอลูกเค้ามีพฤติกรรมอยู่อย่างหนึ่งที่ตัวแม่เด็กเองแก้ปัญหาไม่ได้ก็คือลูกเค้าเอาไอดีบัตรเครดิตที่ผูกไว้กับApple IDไปใช้ซื้อไอเทมในเกมส์ออนไลน์พอเค้าถามลูกเค้าว่าเงินในบัญชีหายไปไหน ลูกเค้าก็ตอบว่าไม่รู้ ไม่ได้เอาไป ผู้ปกครองคนนี้ไลน์มาฟูมฟายกับเราว่าคุณแม่เสียใจมาก เหล่าซือต้องช่วยสอนเค้าด้วยนะคะ เฮ้ย! มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องสอน คุณเป็นแม่คุณควรสอนควรดูแลลูกคุณเอง ไม่ใช่ผลักภาระมาให้คนอื่น ลูกคุณเองคุณยังดูแลไม่ได้แล้วจะมีลูกทำไม?? มีแล้วก็มาผลักภาระให้คนอื่นแบบนี้ ใช้ไม่ได้ แถมยังมาบอกเราว่าให้เราสอนเรื่องมารยาทให้ลูกเค้าอีก อย่างเช่น เวลาเข้าคลาสเรียนให้สอนลูกเค้าให้ยกมือไหว้สวัสดี อ้าว! แล้วทำไมคุณไม่สอน มันเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ต้องสอน ครูหรือติวเตอร์แค่สอนวิชาถ่ายทอดความรู้ให้ลูกคุณก็เหนื่อยพอแล้วคุณยังจะยัดเยียดลูกมาให้เราอบรมเลี้ยงดูอีกเหรอ?? ไม่คิดว่ามันน่าเกลียดไปหน่อยเหรอ เราไม่ใช่นักจิตวิทยาเด็กหรือจิตแพทย์เด็กนะที่จะได้มาให้คำปรึกษาในการเลี้ยงลูก เป็นแม่คนแล้วควรหัดแยกแยะอะไรให้ออกซะบ้าง ไม่ใช่พอมีลูกแล้วมาเที่ยวบอกคนอื่นว่าไม่รู้จะสอนลูกยังไง ทำแต่งานไม่มีเวลาให้ลูก แล้วคุณจะมีลูกทำไมตั้งแต่แรกล่ะ?? เรื่องแค่นี้คิดไม่เป็นเหรอ??


        ที่กล่าวมาทั้งหมดคือเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองที่มาทำพฤติกรรมเลวๆ ใส่ติวเตอร์(โดยเฉพาะมาทำกับเรา) ส่วนผู้ปกครองที่ดีและมีเหตุผลก็รักษาความดีนี้ต่อไป


        ใครไม่ชอบเลื่อนผ่านไป ขออภัยที่โลกสวยไม่เป็น


-- Tutor Fha --


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2565

นักเรียนแบบไหนที่ติวเตอร์ไม่Love

         

        สืบเนื่องจากบทความที่แล้ว "เคสนักเรียนด้อยคุณภาพและเคสเด็กนรก" นักเรียนที่ปฏิบัติตัวแย่ๆ กับติวเตอร์ยังมีอีกเยอะ เจอมากับนักเรียนทุกช่วงวัยบางทีตัวนักเรียนเองอาจจะไม่รู้ตัวหรอกว่าไปทำไม่ดีใส่ใครไว้บ้าง

        ต่อไปนี้คือลักษณะนักเรียนที่ไร้คุณภาพ เป็นยังไง ไปอ่าน


1. มาสายกว่าเวลาที่นัดเกินไป

        ที่เคยเจอคือเป็นนักเรียนผู้หญิงวัยทำงาน ตอนนั้นไปสอนนัดตามสถานที่ นัดเรียน 10 โมงแต่นักเรียนมา 11 โมงแล้วอ้างว่าตัวเค้าเป็นคนทำอะไรช้า ต้องแต่งตัว ตรงนี้ถ้าตามหลักมารยาทสากลถือว่าเสียมารยาทและไม่ควรอย่างยิ่ง อยากบอกเค้าเหมือนกันแต่คำว่า"ลูกค้า"มันค้ำคออยู่เลยต้องจำทนสอนเค้าไปเรื่อยๆ 

        ในกรณีที่นักเรียนต้องการเข้าสาย ควรแจ้งให้ติวเตอร์ทราบล่วงหน้าก่อน จะได้รอและเผื่อเวลาเรียนให้ พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ควรจะไปทำกับใครทั้งสิ้น


2. เปลี่ยนกำหนดการแบบปุบปับ

        มีนักเรียนผู้หญิงวัยทำงานอยู่คนหนึ่งเป็นข้าราชการด้วยเคยนัดเรียนแล้วชอบขอเปลี่ยนแบบปุบปับจนบางทีเราไม่ทันตั้งตัว บางวันกำลังนั่งรถไปสอนเขา แล้ววันนั้นรถติด ยังไม่ได้กินข้าวเช้า แต่เค้าเพิ่งจะไลน์มาบอกเราตอนลงรถว่าวันนี้งดเรียน(ควรบอกก่อนล่วงหน้าซัก 1 วัน รู้มั้ยว่ามันเสียเวลา เสียความรู้สึกด้วย) อย่าคิดว่าคุณเป็นคนจ่ายเงินแล้วจะมาทำตัวเป็นเจ้านายเรา ในแง่ความเป็นมนุษย์เหมือนกันควรให้เกียรติเราด้วย และในแง่ความเป็นครูและนักเรียน ทำแบบนี้มันเป็นการหยามครูผู้สอน อยากได้วิชาความรู้จากคนอื่นควรปฎิบัติตัวดีๆ ต่อคนอื่นด้วย เราไม่ว่าพ่อแม่คุณไม่สั่งสอนหรอก พ่อแม่เค้าอาจจะสอน แต่ตัวเค้าเองต่างหากที่เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่เกิดก็ได้


3. เปิดเสียงโทรศัพท์ในระหว่างเรียน

          หากคุณได้รับการศึกษาและการอบรมที่ดีมา ข้อนี้ไม่ควรทำ เวลาเรียนมันไม่ควรมีเสียงโทรศัพท์มารบกวนอยู่แล้ว มันทำให้เสียสมาธิทั้งนักเรียนและติวเตอร์ อันนี้มันเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานแบบสากล ทุกคนควรรู้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกหรอก


4. ทำอย่างอื่นไปด้วยในขณะที่เรียน

        ข้อนี้ส่วนตัวเราไม่ชอบเลย แสดงว่านักเรียนไม่ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ตรงหน้า และการกระทำแบบนี้มันถือเป็นการเสียมารยาทอีกด้วย คือ ณ เวลานี้ตกลงคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่ จะเรียนหรือว่าจะทำอย่างอื่น หากต้องการจะทำอย่างอื่นจะได้หยุดสอน นักเรียนจะได้เอาเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น


5. ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของติวเตอร์

        


        หากนักเรียนต้องการปฎิบัติข้อนี้ ทางที่ดีคือไม่ต้องมาลงคอร์สเรียน เสียเงิน เสียเวลา และติวเตอร์เองก็เสียความรู้สึกและสิ้นเปลืองพลังชีวิตเป็นอย่างมากด้วยที่ต้องมาเจอแต่คนแบบนี้ ในเมื่อคุณ"เลือก"ที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของติวเตอร์ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทักษะคุณจะเก่งขึ้น เพราะการอยู่เฉยๆ ไม่ยอมทำอะไรเลย มันไม่มีทางเก่งขึ้นอยู่แล้ว ถ้าอยากเก่งต้องหมั่นฝึกฝนตามที่ติวเตอร์แนะนำค่ะ ทักษะและความรู้ทุกอย่างที่มีบนโลกใบนี้ ถ้าอยากมีทักษะติดตัวต้องเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเอง ไม่มีใครสามารถเสกวิชาความรู้เข้าตัวคุณได้หรอก


6. ไม่เปิดกล้อง

        ในกรณีที่ลงเป็นคอร์สเรียนออนไลน์ หากคุณมีมารยาททางสังคม คุณควรเปิดกล้องค่ะ แต่ถ้าจะปิดกล้องเรียนคุณควรบอกติวเตอร์ซักนิดด้วยว่าปิดกล้องเพราะอะไร ทางเราไม่อะไรกับนักเรียนที่ปิดกล้องเรียน จะปิดหรือจะเปิดมันก็เรื่องของคุณ แต่อย่างน้อยถ้าคุณมีมารยาทคุณควรบอกเหตุผล ไม่ใช่มาทำกับเราแบบนี้ ถ้ามีคนมาทำแบบนี้กับคุณ คุณจะรู้สึกยังไง??


7. เห็นติวเตอร์เป็นแค่เครื่องมือในการทำการบ้าน

        บางคนมาลงคอร์สเรียนเพื่อการนี้จริงๆ ไอ้เราอุตส่าห์อธิบายตั้งนานให้นักเรียนเข้าใจ แต่นักเรียนกลับไม่เอาวิชาอะไรเลย ทำแบบนี้เท่ากับไม่ให้เกียรติและดูถูกอาชีพของเรา จะยังไงก็แล้วแต่นะ ให้เวรกรรมมันตามเล่นงานคนที่ทำกับเราละกัน ตอนนี้มันอาจจะกินบุญเก่าอยู่ แต่หมดบุญเมื่อไหร่ละก็......หนัก!!


8. มองติวเตอร์เป็นแค่สินค้าให้เลือกซื้อ

        อันนี้อ่านเจอจากคอมเมนท์ในหลายๆ เพจ บางคนหาติวเตอร์ที่เค้ามีเปิดทดลองเรียนฟรี แล้วก็ทดลองเรียนไปเรื่อยๆ ไม่คิดที่จะชำระเงินลงคอร์สเรียน ทำแบบนี้เท่ากับหลอกใช้เอาของฟรีจากคนอื่น ตัวเราเองก็เจอมากับตัวเองสดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน เลยต้องเปลี่ยนระบบในการคัดกรองนักเรียนที่จะมาเรียนกับเราใหม่ คือ ถ้าเป็นคอร์สติวสอบและติวเพิ่มเกรดคุณต้องชำระค่าทดลองเรียนก่อนเป็นรายชม. ชำระก่อนเรียนด้วย ไม่งั้นเราไม่สอนให้ ไม่ใช่ว่าเราจะใจร้าย แต่ในเมื่อพวกคุณใจร้ายและเอาเปรียบเราก่อน เราจึงต้องหาทางหนีทีไล่ และออกมาตรการมาเพื่อรับมือกับกลุ่มลูกค้า(นักเรียน)ชั้นเลวแบบนี้


9. ปฎิบัติกับติวเตอร์แบบไม่ให้เกียรติ

        ที่เจอมา ไม่ว่าจะเป็นการปีนเกลียว ไม่ให้ความเคารพ ทำเหมือนกับเราเป็นเพื่อนเล่น มาลองภูมิความรู้ คิดว่าตัวเองทำอาชีพดีกว่า เช่น ข้าราชการ แพทย์ แล้วมาทำตัวกร่าง ทำตัวบ้าอำนาจ มาควบคุมให้เราอยู่ใต้อาณัติเค้า คนแบบนี้ลงคอร์สเรียนไม่ได้นาน และเราไม่ทนสอนคนแบบนี้ด้วยหมดคอร์สเมื่อไหร่บล็อคทุกช่องทางการติดต่อ ไปหานักเรียนดีๆ ที่เค้าอยากเรียนกับเราจริงๆ ดีกว่า และเราเชื่อว่านักเรียนดีๆ ยังมีอีกเยอะ


10. มาลงคอร์สเรียนแล้วมาเปลี่ยนระบบการสอนและระบบการทำงานของเรา

        ข้อนี้พูดตามตรงนะว่า"น่าเกลียดมากกกกกกกก!" เท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล คุณมีสิทธิ์อะไรมาเปลี่ยนระบบการทำงานของคนอื่นที่เค้าวางไว้มั่นคงแล้ว หากคุณต้องการทำแบบนั้น ทางเราไม่ต้องการสอนวิชาให้ค่ะ เชิญเข้าณานตรัสรู้ด้วยตนเองไปละกัน หากต้องการให้ติวเตอร์ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ควรให้เกียรติในระบบการสอนและระบบการทำงานของเราด้วยค่ะ และคุณไม่ควรเอาพฤติกรรมแย่ๆ นี้ไปทำกับใคร เพราะไม่มีใครชอบหรอก หากตัวคุณโดนบ้าง พวกคุณจะรู้สึกยังไง??


11. คนประเภท Cerry แต่มาลงคอร์สเรียนภาษาจีน

        เคยเจอคนประเภทนี้อยู่ประมาณ 3 คน ช่วงที่ทัวร์จีนชอบมาไทย แล้วคนที่ติดต่อเข้ามาลงคอร์สเรียน รูปโปรไฟล์เป็นแบบเกือบจะแก้ผ้าเลยล่ะ บางคนแค่เอ่ยปากไม่กี่คำก็รู้แล้วว่าทำงานอะไร ขาย Hee แน่นอน เค้ามักจะบอกว่าเรียนเพื่อเอาไปพูดกับแฟนคนจีน(คงจะเป็นลูกค้าที่มาเที่ยวกลางคืนนั่นแหละ) ไม่ใช่ว่าเราจะมาเหยียดมาแบ่งชนชั้น แต่ในเมื่อเราสอนวิชาให้เค้าแล้วพวกเค้าปฎิบัติกับเราแบบไม่เหมาะไม่ควร  เช่น บางคนชอบเล่าประสบการณ์ทำงาน(อย่างว่า)ให้เราฟัง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดูเลยว่าเราอยากจะฟังรึป่าว บางคนยังเขียนภาษาไทยไม่ค่อยจะเป็นเลยก็มี เวลาจดแลคเชอร์ต้องมาสะกดภาษาไทยให้เขียนทีละตัว บางคนแค่เรียนพินอินแล้วบอกว่า "เรียนปวดหัว"(หาผัวดีกว่าใช่มั้ย??) บอกตรงๆ นะมันไม่ได้น่าภูมิใจเลย มันน่าทุเรศมากกว่า คนแบบนี้เอาดีไม่ได้หรอก(หากพวกเค้ายังมีชุดความคิดแบบเดิมๆ) ยิ่งกว่าบัวใต้โคลนตมอีก แล้วคนประเภทนี้เราไม่อยากสอนด้วย เพราะสอนอะไรให้ก็ไม่เอา วันๆ จะชวนคุยแต่เรื่องที่คนปกติเค้าไม่อยากฟังกัน มีแต่เรื่องอย่างว่าทั้งนั้น ฟังแล้วสะอิดสะเอียนและทุเรศในตัวคนพูดสุดๆ แต่ก็อย่างว่าแหละ ไม่งั้นพวกเค้าจะทำงานขายอาหารทะเลสดๆ ได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย??


        ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาเราไม่ได้จะโจมตีใคร แค่ไม่อยากได้ลูกค้าชั้นเลวแบบนี้มาลงคอร์สเรียน เจอแต่คนแบบนี้มันทำให้เสียสุขภาพจิต เพราะบางคนมันมีแต่เงิน แต่หัวสมอง+หัวคิดไม่มี

        หากนักเรียนคนไหนที่ปฎิบัติตัวดีอยู่แล้วก็รักษาความดีนี้ต่อไปค่ะ


        ใครไม่ชอบเลื่อนผ่านไป ขออภัยที่โลกสวยไม่เป็น


-- Tutor Fha --


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565

เคสนักเรียนด้อยคุณภาพและเคสเด็กนรก

         

        จากประสบการณ์ที่เหล่าซือสอนนักเรียนมาเยอะมาก จากนักเรียนมาหลากหลายรูปแบบทั้งดีและไม่ดี ในบทความนี้จะมาเล่าประสบการณ์ที่ 2 เคสใหญ่ๆ และหนักๆ สำหรับนักเรียนที่ประพฤติตนต่อติวเตอร์แบบด้อยคุณภาพ ถ้าไปทำพฤติกรรมหรือนิสัยแบบนี้กับติวเตอร์ท่านอื่นก็ไม่มีใครอยากสอนรังแต่จะทำให้ติวเตอร์ท่านนั้นเสียสุขภาพจิต+หมดกำลังใจที่จะสอนต่อ

           หากใครผ่านมาอ่านแล้วรู้ตัวว่าเรามีพฤติกรรมแบบนี้ละก็เลิกซะ เพราะมันเป็นพฤติกรรม Toxic หรือมีคนใกล้ตัวที่ทำพฤติกรรมดังที่เล่ามาก็เตือนพวกเขาด้วยว่าให้หยุดซะ คนอื่นเค้าไม่โอเคกับคุณ


เคสแรก:



        เป็นนักเรียนหญิงชั้นม.6 แม่มาลงคอร์สติวเพิ่มเกรดให้ แต่เค้าจะมีพฤติกรรมแปลกๆ คือ สื่อสารไม่เข้าใจ พอถามว่าเข้าใจมั้ยก็จะไม่ยอมพูด พอนัดให้ท่องศัพท์หรือจำศัพท์อะไรก็ไม่ยอมทำตาม(ทั้งๆ ที่เราอธิบายรายละเอียดให้ฟังอย่างกระจ่างแจ้งทุกจุดแล้ว) และพอถึงวันนัดหมายการสอบเขียนคำศัพท์ เค้ากลับเอาวิชาอื่นมานั่งอ่านในชม.เรียนของเราซึ่งตรงนี้เราโกรธมาก มันแสดงถึงนักเรียนคนนี้ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลย เหมือนคนจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังไม่เป็น เท่าที่สัมผัสเค้ามา เรามีความรู้สึกว่าน่าจะมีปัญหาทางด้านจิตใจอะไรบางอย่าง(แค่สันนิษฐานจากพฤติกรรมที่เราสัมผัสเค้า ไม่ได้ไปตัดสินเค้าแต่อย่างใด) หลังจากเรียนชม.สุดท้ายแล้วเราเดินออกแบบไม่หันหลังกลับไปมองนักเรียนคนนี้อีกเลย หากไม่อยากเรียนวิชานี้จะมาลงคอร์สเรียนตั้งแต่แรกทำไม เค้าไม่เคยทำตามคำแนะนำของติวเตอร์เลย มันไม่มีทางที่เกรดจะดีขึ้นหรอก


เคส 2:

        

        เป็นนักเรียนชายชั้นม.4 แม่มาลงคอร์สติวเพิ่มเกรดให้เช่นกัน ตลอดเวลาที่เรียนเด็กคนนี้จะไม่เปิดกล้อง แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นคิดว่าเด็กอาจจะอยู่ใจสภาวะที่ไม่สะดวกเปิด แต่เราเปิดกล้องสอนตลอดเพื่อมารยาทสากล แต่เรามีความรู้สึกเอะใจตั้งแต่ 2 ชม.แรกที่ทดลองเรียน คือ นักเรียนคนนี้เค้าบอกว่าที่โรงเรียนให้แต่งประโยคจากคำศัพท์ที่ครูกำหนด แล้วตัวเค้าทำไม่ได้เลย ก็เลยมาให้เราแต่งให้ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรก็แต่งให้ไป พอถึงชม.ที่ 2 ชองการทดลองเรียนเราเริ่มเอะใจว่าคนเราถ้าไม่รู้จักกันเค้าจะไม่อาศัยไหว้วานให้ทำการบ้านให้แบบนี้นะ หรือว่าเราคิดมากไปเองรึป่าว แต่เรามีความรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังเริ่มที่จะเอาเปรียบเราอยู่ พอแม่ของเด็กคนนี้ทักไลน์มาถามว่าลูกเค้าเรียนเป็นไงบ้าง เลยตอบแม่เค้าไปว่า"ปกติหากนักเรียนมีการบ้านหรือแบบฝึกหัดมาจากโรงเรียนเหล่าซือจะไม่ทำให้นะคะ แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นการดูแนวการสอนไปก่อน" ไม่คิดว่าเค้าจะลงคอร์สเรียนยาว(เพราะเด็กคนนี้มันเห็นว่ามีคนมาทำการบ้านให้มันยังไงล่ะ)

        พอเรียนเนื้อหาที่เป็นภาษาจีนพื้นฐานไปได้ซักพัก เด็กคนนี้ก็ยังไม่เปิดกล้อง(ก็คือมันไม่ให้เกียรติเราตั้งแต่แรกแล้วแหละ) และไม่เคยบอกเหตุผลที่ไม่เปิดกล้องด้วย จากนั้นมันก็เริ่มโวยว่า "ผมจะต้องเรียนอันนี้ไปอีกนานเท่าไหร่" เราก็แปลกใจ สอนหนังสือมาจะ 10 ปียังไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้เลย เสียมารยาทมาก เพราะเด็กคนนี้พื้นฐานอ่อนถึงอ่อนมาก เราเลยต้องสอนการออกเสียงขั้นพื้นฐานให้ใหม่ทั้งหมด อีกอย่าง เรื่องการออกเสียงขั้นพื้นฐานเป็นสิ่งที่ทางนักเรียนเค้ารีเควสมาเองด้วย พอสอนการออกเสียงขั้นพื้นฐานไปได้ซักประมาณ 7-8 ชม. แล้วมันก็โวยขึ้นมาอีกว่าทำไมไม่สอนเนื้อหาในหนังสือเรียนซักที อ้าว! ก็คุณพื้นฐานอ่อน  คุณก็ต้องมาปรับพื้นใหม่แล้วมันก็ต้องใช้เวลา ถ้ามาถามว่านานเท่าไหร่แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากันหรอก เพราะทักษะในการทำความเข้าใจ+ความสามารถในการรับข้อมูลมันต่างกัน หากคุณมาถามแบบเค้นเอาความแบบนี้จากเรา เราไม่มีคำตอบที่ตีค่าออกมาเป็นตัวเลขที่ตายตัวให้คุณหรอก มันก็ต้องสอนต้องเทรนด์จนกว่าคุณจะเป็นนั่นแหละ เพราะทักษะคุณอ่อนมาก

        มีอยู่วันนึง เด็กคนนี้เข้าเรียนช้าไป 15 นาที เราก็ไม่ว่าอะไร แล้วเรายังถามด้วยนะว่าวันนี้มีธุระอะไรมั้ยเดี๋ยวชดเชยให้ เด็กบอกว่า พอดีวันนี้เรียนชดเชยไม่ได้เพราะมีธุระอย่างอื่นต้องทำ วันนั้นก็ไม่ได้ชดเชย 15 นาทีที่เข้าสาย กรณีนี้ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นเค้าจะไม่อะไร พอเรียนครั้งต่อไปเค้าก็เข้าเรียนและเลิกเรียนตามกำหนด แต่เด็กคนนี้มันไม่จบ มันจะให้เราชดเชย 15 นาทีที่เข้าสายไปเป็นวันอื่นให้ได้ พอเราบอกว่า จะชดเชยให้ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามีครั้งต่อไปจะไม่ชดเชยทบเป็นวันอื่นให้อีกแล้ว แล้วเด็กก็บอกว่า งั้นไม่ชดเชยแล้วก็ได้(แปลว่ามันรู้ตัวแล้วแหละ ว่าเรารู้ทัน) แต่หลังจากนั้นเด็กคนนี้ก็ยังถามถึงเรื่องการชดเชย 15 นาทีที่มันเข้าเรียนสายเองไปเป็นวันอื่นอีกประมาณ 3 ครั้ง จนเราชักจะทนไม่ไหว นิดหน่อยก็จะเอาเปรียบ เลยคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่าง เลยออกมาตรการอย่างปุบปับอย่างเป็นทางการเพื่อมารับมือกับเด็กขี้เอาเปรียบแบบนี้โดยเฉพาะ โดยการเขียนประกาศลงเพจที่เปิดคอร์สรับสอนและในไลน์ว่า

        "หากได้ชำระเงินลงคอร์สเรียนและมีการลงบันทึกเวลาเรียนแล้ว หากผู้เรียนยกเลิกกลางคันจะไม่คืนเงินให้" และ

        "การชดเชยเวลาเข้าเรียนช้า จะชดเชยให้ได้เฉพาะวันที่มีการเข้าเช้าเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ทบเป็นวันอื่น"


ที่ต้องออกมาตรการแบบนี้ไม่ใช่ว่าเราจะใจร้าย แต่ในเมื่อมันมีคนที่จ้องจะเอาเปรียบเราและเราก็รู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาเปรียบ เราจึงต้องหาทางหนีทีไล่ เพราะส่วนตัวเราเกลียดคนขี้เอาเปรียบเป็นทุนเดิมสุดๆ อยู่แล้ว คนแบบนี้hereมาก มาเจอนักเรียนทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่อีก ชักจะหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน ยิ่งทวีคูณความเกลียดชังหนักเข้าไปอีก แต่มันก็ยังไม่รู้ตัวหรอกว่ามันทำอะไรกับคนอื่นไว้บ้าง โดยเฉพาะกับเรา ไม่คิดเหมือนกันว่าชีวิตนี้จะมาเจอนักเรียนทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่ เพราะพ่อแม่เราสอนมาว่าผู้ชายที่ดีเค้าจะไม่เอาเปรียบผู้หญิงกันหรอก คนที่ชอบเอาเปรียบผู้หญิงน่ะ เค้าเรียกว่า "หน้าตัวเมีย" รึไม่ก็ "แมงดา" ซึ่งจากพฤติกรรมของไอ้เด็กคนนี้ที่มันทำกับเรามันก็เข้าข่ายในสิ่งที่พ่อแม่เราสอนซะด้วย

        พอเรียนไปจนถึงเรื่องกฎการเขียนตัวอักษรจีน เด็กคนนี้มันก็โวยอีกว่า "กฎเยอะจัง" เลยต้องตอกกลับไปว่า "ถ้าไม่เรียนตรงนี้เหล่าซือไม่สามารถสอนเนื้อหาในหนังสือเรียนให้ได้ค่ะ เพราะเนื้อหาขั้นพื้นฐานยังเรียนรู้ไม่หมดเลย" คือไอ้เด็กคนนี้มันจะให้เราทำตามใจมันทุกอย่างให้ได้นั่นแหละ แต่เราก็ยังยืนยันกระต่ายขาเดียวว่า "ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ของนักเรียนการทำแบบฝึกหัดนักเรียนต้องทำเองค่ะ เหล่าซือไม่ทำให้ หากทำด้วยตัวเองแล้วไม่เข้าใจหรือมีปัญหาอะไรให้เอามาถาม อันนี้ก็สมเหตุสมผล" วันนั้นเด็กนี่ก็จ๋อยไป


        แต่ยังไม่หมดกับนิสัย+สันดารขี้เอาเปรียบ โวยนั่นโวยนี่อยู่เรื่อยจนเราต้องตัดทอน+เร่งรัดเนื้อหาขั้นพื้นฐานบางส่วน เพื่อเข้าสู่เนื้อหาในหนังสือเรียนตามที่เด็กเร่งรัดมา พอเข้ามาสู่หนังสือเรียนแล้วปรากฎว่าพินอินยังอ่านไม่เป็นเหมือนเดิม เฮ้ย!นี่แปลว่าไม่เคยใส่ใจในสิ่งที่เราตั้งใจสอนมันมาแต่แรกเลยนี่หว่า พอเราสอนๆ ไปตามแผนที่วางไว้มันกลับมาโวยนั่นโวยนี่จนระบบการสอนเรารวนไปหมด(เพราะความงี่เง่า เอาแต่ใจ เอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลของไอ้เด็กคนนี้ล้วนๆ นั่นแหละ) จากนั้น เราเลยตัดสินใจที่จะไม่สอนเรื่องการออกเสียงให้เด็กคนนี้อีกเพราะจากที่สอนมาตั้งแต่ต้นแล้วมันไม่เอาวิชาเลย เอาแต่เร่งรัดนู่นนี่นั่นจนเรารวน เลยส่ง Track audio ของหนังสือเรียนให้มันไปฝึกออกเสียงเอง

        พอเราพูดกับเด็กคนนี้เรื่องที่ว่าถ้าคุณทำตัวแบบนี้ไม่มีใครเค้าอยากสอนคุณหรอก แม่ของเด็กคนนี้ก็โทร.มา บอกว่าที่เราพูดกับเด็กไป ลูกเค้าเสียใจ(แต่เราไม่เชื่อว่ามันเสียใจจริง เพราะเท่าที่สัมผัส เด็กคนนี้เหลี่ยมจัดและไม่มีสามัญสำนึก แล้วก็ไม่เอ่ยปากขอโทษเราซักคำ) แต่การเรียนการสอนครึ่งคอร์สหลังเราได้อัดวิดิโอไว้หมดเลย เลยส่งให้แม่เด็กดู พอดูเสร็จแล้วแม่เด็กโทร.มาขอโทษขอโพยกับเราในการกระทำของลูกรักของเขา(ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน โดยเฉพาะกับเรา) และได้อ้อนวอนให้เราสอนจนจบคอร์ส+ติวสอบปลายภาคให้ลูกเค้าหน่อย

         พอเรียนมาจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายที่ต้องติวสอบปลายภาคให้มัน มันก็เอาแนวข้อสอบทางโรงเรียนมาให้เราติว แนวข้อสอบบางข้อมันมีอยู่แล้วในหนังสือ แค่ลอกตามแค่นั้นเอง มันยังไม่ทำเลย โกรธมากกกกก มันบอกจะให้ติว แล้วตรงที่เป็นแบบฝึกหัดเคยบอกให้มันไปทำมาก่อนจะได้เข้าใจมากขึ้น มันก็ไม่ทำ คือที่มาลงคอร์สเรียนเพื่อจะเอาคำตอบอย่างเดียวนั่นแหละ ดูออกนานแล้ว เราเลยให้มันทำแบบฝึกหัดทั้งหมดในชม.เรียนให้เสร็จ พอติวสอบเสร็จหมดได้คำตอบทุกข้อเพื่อไปท่องเตรียมสอบ ทีนี้มันจะไม่ยอมท่องเอง มันจะให้เราติวอีกทั้งหมดให้ได้ เราเลยบอกมันไปว่า "ก็แค่กลับไปท่องเองให้จำได้ก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องติวแล้ว ทุกคนอ่านหนังสือออก ถ้าอ่านหนังสือออกก็ต้องท่องเอง" คือยังไงเราก็จะไม่ติวให้มันอีกแล้วแหละ ส่วนเวลาเรียนที่เหลืออีกไม่กี่ชม.ก็เอาบทก่อนๆ มานั่งสอนให้มันหมดคอร์สไป พอสอนหมดคอร์สแล้วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และขอบคุณตัวเองที่สามารถชนกับปัญหาและแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี




        พอจบคอร์สแล้วเรากรวดน้ำคว่ำขันกับไอ้เด็กนรกนี่เลย อธิษฐานในใจด้วย ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ ขออย่าได้มาพบเจอกันอีก!!!!! และเราจะเอาเคสที่เราเจอมาเตือนใครต่อใครด้วย ตราบใดที่โลกนี้ยังมีพ่อแม่ประเภทสอนลูกให้เอาเปรียบผู้อื่นอยู่


เวรกรรมทำงานตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณ(มึง)ไปทำไม่ดีใส่คนอื่นแล้วแหละ
โดยเฉพาะกับเรา(กู) เพราะมันไม่ได้แสดงว่าคุณอยู่เหนือผู้อื่น แต่มันคือการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าคุณhereขนาดไหนต่างหาก


-- Tutor Fha --


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2565

ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการเรียนภาษาจีน

 


        เชื่อว่าหลายคนอยากเรียนภาษาจีนเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ความสามารถทางภาษา เพื่อดูซีรีย์จีน ท่องเที่ยวประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเอาเป็นว่าถ้าอยากเรียนภาษาจีนก็แปลว่ามีทัศนคติที่ดีต่อภาษานี้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เรียนแล้วจะไปถึงฝั่งฝันหากยังมี mind set หรือชุดความคิดที่ผิดๆดังต่อไปนี้


1. เร่งเวลาเรียน


        การเรียนภาษาต่างประเทศที่เป็นภาษาที่3ห้ามเร่งเด็ดขาดนะคะ!! เพราะเราต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากเวลาเรียน เร่งรัดเวลาแล้วจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวนักเรียนและอ.ผู้สอนด้วยค่ะ ข้อเสียของการเร่งเวลาก็คือ ผู้เรียนจะเรียนเนื้อหาได้ไม่ครอบคลุมเท่าที่ควรเวลานำไปใช้ในสถานการณ์จริงจะเห็นได้ชัดว่าเรียนตกหล่น เพราะอ.ผู้สอนจำเป็นต้องตัดทอนเนื้อหาบางส่วนที่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการสอนและฝึกฝนผู้เรียนออกไปให้ทันเวลา วิธีนี้จากประสบการณ์แล้วคิดว่าไม่เวิร์คเลย


2. ไม่ขยัน



        คุณสมบัติข้อนี้นับว่าสำคัญสุดๆในการเรียนภาษาจีนไม่ว่าจะหลักสูตรไหนก็ตาม เพราะถ้าหากล้มเลิกกลางคันก็หมดสิทธิ์ได้ไปต่อทันที


3. เรียนแต่พินอิน ไม่เรียนเขียนตัวจีน


        หากใครมีชุดความคิดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอยากเรียนแพทย์แต่ไม่ยอมเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เรียนว่ายน้ำแต่ไม่ยอมลงสระ เรียนทำอาหารแต่ไม่ยอมเข้าครัว เหตุผลก็คือ เวลาที่ใช้ภาษาจีนในการสื่อสารในสถานการณ์จริงไม่มีคนจีนคนไหนสื่อสารด้วยตัวพินอิน เพราะฉะนั้น พินอินจำเป็นต้องเรียนตอนเริ่มต้น ส่วนตัวจีนจำเป็นต้องจำได้ระดับนึง หมายความว่า จำให้พออ่านออกเขียนได้นะ เวลาอ่านข้อความตามโซเชียลจะได้แยกแยะออกว่าแต่ละประโยคที่เจ้าของภาษาเค้าพิมพ์มามันหมายความว่าอย่างไร ถ้ายังจำไม่ได้ทุกขีดก็ไม่เป็นไร ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาค่ะ ซึ่งแต่ละคนช้าเร็วไม่เท่ากัน


4. ไม่ทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ


        หากทำข้อนี้ผลเสียที่จะตามมาก็คือ
        - ไม่สามารถเรียนต่อในบทเรียนต่อไปหรือคอร์สที่สูงกว่านี้ได้
        - ของเก่าที่เรียนมาก็จะลืม
        - การเรียนไม่ต่อเนื่อง ทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหมดกำลังใจที่จะเรียนต่อ


5. เรียนหรือทบทวนภาษาจีนผิดวิธี


        ข้อนี้เหล่าซือเจอมาเยอะมาก เพราะนักเรียนหลายคนไม่เชื่อฟังวิธีการที่เหล่าซือสอนไป โดยเฉพาะนักเรียนระดับ Beginers ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียนหรือประกอบอาชีพทางสายวิทย์ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร เภสัช เพราะส่วนใหญ่คนที่ถนัดทางด้านการคำนวณมักจะไม่ถนัดวิชาทางด้านการใช้ภาษา(เป็นเรื่องปกติ) หลายคนเรียนตามกระแสซีรีย์และมักจะทบทวนผิดวิธี บางคนเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ต้องให้โลกหมุนรอบตัวเค้าเองเท่านั้น บางคนจะมาพยายามเปลี่ยนระบบการสอนของเรา(บอกเลยว่าคนแบบนี้เรียนกับเหล่าซือได้ไม่นาน และเราเองไม่อยากสอนคนประเภทนี้ด้วย) บางคนทบทวนตอนง่วงนอน ไม่สบาย ปวดหัว หรืออะไรก็ตามในสภาวะร่างกายและจิตใจไม่พร้อม แนะนำว่าทางที่ดีคือไปทำตัวเองให้สดชื่นก่อน อาจจะเป็นการอาบน้ำให้สบายตัวหรือนอนหลับพักผ่อนซัก 1 ชม. แล้วค่อยๆทบทวนบทเรียน

        อีกวิธีหนึ่งที่อยากบอกนักเรียนทุกคนก็คือ ทุกครั้งที่เราท่องจำหรือฝึกเขียนตัวจีนจำเป็นต้องมีพินอินคอยนำในการจำศัพท์ ถ้ายังเขียนไม่ค่อยแม่นอย่าพยายามเขียนออกมาจากสมองโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลดีใดใดแล้วยังจะทำให้กดดันอีกด้วย และที่สำคัญ อย่าฝึกเขียนตัวจีนที่เรายังไม่เคยเจอมาก่อนไปพร้อมๆกับการฟังเพลง เพราะสมองเราจะไม่ได้โฟกัสที่การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ แต่จะไปโฟกัสที่เพลงแทน ซึ่งต่อให้ท่องติดต่อกันนานๆก็ไม่เข้าหัว แต่ถ้าในกรณีที่เราเขียนคล่องแล้วแต่อยากคัดไว้เพื่อกันลืม อันนี้ก็สามารถทำได้ค่ะ 


        ทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมานี้คือประสบการณ์สอนจริงที่เจอนักเรียนแต่ละเคสมา เจอมาหลากหลายรูปแบบค่ะ หากใครอ่านบทความนี้แล้วไม่ถูกใจ หรือคิดว่าวิธีการจำศัพท์ของตัวเองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันดีสำหรับตัวเองอยู่แล้วก็ไม่ไเป็นไรค่ะ เหล่าซือแค่เอาประสบการณ์จริงมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันไว้ประกอบการพิจารณา ขอแค่เราเรียนภาษาจีนแล้วเรามีความสุขก็พอ


ใครไม่ชอบเลื่อนผ่านไป ขออภัยที่โลกสวยไม่เป็น


不经一事、不长一智 ประสบการณ์ทำให้เราเติบโต


-- Tutor Fha --


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha





วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565

สถาบันกวดวิชาหรือว่ารังโจร??


        มีสถาบันกวดวิชาอยู่หลายที่ที่แฝงตัวมาในคราบคุณครูผู้ใจดี แต่ร่างที่แท้จริงมันคือมิจฉาชีพที่หากินบนความทุกข์ของคนอื่น แล้วขึ้นชื่อว่ามิจฉาชีพมันไม่ได้มีแค่ตามที่เป็นข่าวในทีวีเท่านั้น มันได้แฝงตัวไปยังทุกวงการทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่ง วงการติวเตอร์หรือกวดวิชา!!

        อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะใครที่ไม่เคยเป็นติวเตอร์ เคยทำงานกับนายหน้าแล้วโดนนายหน้าในคราบสถาบันโกง ผู้ปกครองที่หาที่เรียนพิเศษให้บุตรหลาน หรืออะไรก็ตามที่ถ้าไม่โดนมากับตัวเองก็มักจะไม่รู้ และยังคิดว่าพวกสถาบันหรือนายหน้าน่าเชื่อถือกว่าติวเตอร์อิสระ(เปลี่ยนความคิดใหม่ตอนนี้ยังไม่สายนะ)

        หากพบเจอนายหน้าหรือสถาบันไหนก็ตามที่เข้าข่ายลักษณะดังต่อไปนี้ หลีกให้ห่างเลยนะคะ อย่าเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด!! ขอเตือนด้วยความหวังดี(เตือนแล้วนะ ใครจะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่ เพราะถือว่าเราทำหน้าที่ในขอบเขตของเราดีที่สุดแล้ว โทษเราไม่ได้นะ)


ในแง่ติวเตอร์:

1. โพสต์สั่วๆ โพสต์ลวกๆ 


        ถ้าเห็นโพสต์ตามกลุ่มสาธารณะต่างๆ ว่า "หาครูสอนวิชา....."/"รับสมัครติวเตอร์จำนวนมาก" แล้วโพสต์นั้นเป็นโพสต์ข้อความลักษณะนี้เฉยๆ ไม่ได้บอกว่ามาจากที่ไหน ไม่มีโลโก้(ขนาดมียังไม่น่าไว้ใจ) ไร้แหล่งที่มา พึงสังวรณ์เอาไว้เลยว่านายหน้าชัวร์ เพราะไอ้พวกนี้มันจะไม่แสดงตัวตนที่แท้จริงของมันออกมาให้ชาวโลกเห็นจนกว่าจะได้สูบเลือดสูบเนื้อของติวเตอร์จนหมด พูดง่ายๆ มันทำตัวเหมือนผีพรายที่ทรยศคนเลี้ยง


2. คำพูดชักชวนหว่านล้อมสวยหรูเกินจริง

        
        เสต็ปประมาณ "ต้องการติวเตอร์จำนวนมากน้า"/"รีบสมัครน้า"/"งานตรึมมากเลยน้า" และที่สำคัญ ติวเตอร์ที่ยังอ่อนทั้งประสบการณ์สอนและประสบการณ์ชีวิตซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษา มักจะหลงระเริงไปกับคำพูดที่ว่า "ไม่มีค่าแนะนำ" หรือถูกหลอกล่อด้วยฐานเงินเดือนที่สูงเกินกว่าเหตุ ซึ่งเราได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นจริงแบบที่มันพูดเลย 

        คำพูดพวกนี้มันเป็นแค่จิตวิทยาในการดึงดูดชักชวนคนมาสนใจก็แค่นั้น ก่อนจะลงมือทำอะไรต้องคิดให้เยอะๆ แล้วไอ้คำพูดที่ว่า "ไม่มีค่าแนะนำ" อ่ะ มันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเอางานสอนมาโพสต์ ใส่ราคาเสร็จสรรพ นั่นแหละคือการหักค่านายหน้าไว้แล้ว หากหลวมตัวเข้าไปในวงจรอุบาทก์นี้แล้วล่ะก็โดนมันเชือดทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อรอง ต้องทำตามข้อปฏิบัติที่มันได้ตั้งไว้ทั้งหมดเพราะได้หลงเข้าไปอยู่ใน comfort zone ของมันแล้ว อำนาจทุกอย่างอยู่ในกำมือมัน  เปรียบเทียบง่ายๆ เวลาเราไปซื้อของขวัญจับฉลากแล้วทางร้านแปะป้ายว่า "ห่อฟรี" นั่นแหละ หลักการเดียวกัน เพราะมันหักค่าห่อไว้ในค่าของขวัญเรียบร้อยแล้ว คนไม่รู้จักกันไม่มีใครเค้ามาหางานให้เราฟรีๆ หรอก ถึงมีจริงเราก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน จำใส่กะโหลกเอาไว้เลย!! ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ ไม่มีใครมาทำอะไรให้เราฟรีๆ ย้ำอีกครั้ง จำ!!!


3. เมื่อสมัครงานกับทางสถาบันไปแล้วมันให้เราทำงานนอกเหนือจากการสอนวิชา


        หากเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ หนทางในการเอาตัวรอดคือ ลาออกซะ ไม่ว่ามันจะเหนี่ยวรั้งโดยการขึ้นเงินเดือนหรืออะไรก็ตามแต่ อย่าไปฟังมัน!! เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในดงโจร เสต็ปนี้ส่วนใหญ่ติวเตอร์ที่ยังเป็นนักศึกษา น้องๆ ที่เพิ่งเรียนจบและอยู่ระหว่างการหางาน หรือคนที่เพิ่งเคยเข้ามาสัมผัสในวงการกวดวิชามักจะเจอ ตัวเหล่าซือเองก็เคยเจอ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แต่เหล่าซือเจอแบบในทำนองหลอกใช้ให้ทำงานด้วยเสต็ปขั้นเทพอย่างเหนือความคาดหมาย แล้วมันเบี้ยวเงินเดือนเดือนสุดท้าย แถมมาด่าเราด้วย อยากตามเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดแบบเอามันเข้าคุกแล้วขังลืมให้ตายคาคุกไปเลย แต่มาชั่งใจดูอีกที จำนวนเงินที่มันเบี้ยวเราไม่เยอะ เลยไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเลยดีกว่า ให้กฎแห่งกรรมเค้าทำงานไป อีกลักษณะหนึ่งก็คือ มีน้องติวเตอร์คนนึงเล่าให้ฟังว่าไปสมัครงานกับสถาบันแห่งหนึ่งแล้วมันให้น้องติวเตอร์คนนั้นทำงานบ้านถูพื้นสถาบัน ถ้าใครเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทำได้แล้วเราไม่ผิดด้วย บอกมันไปเลยว่า "การถูพื้นไม่ใช่หน้าที่ของติวเตอร์ค่ะ เป็นหน้าที่ของแม่บ้าน" การเป็นติวเตอร์คือหน้าที่ของเราแค่สอนวิชาเท่านั้น ถ้ามันมาพูดทำนองว่า "นี่คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้งาน" แปลว่ามันหลอกใช้เราเต็มๆ ในรูปแบบคำพูดที่ฟังดูมีอำนาจโดยการเล่นเกมส์กับความอ่อนประสบการณ์ชีวิตและความเกรงใจของติวเตอร์ท่านนั้น หากใครเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ เอาตัวเองออกห่างจากแหล่งซ่องสุมนี้ให้ไวที่สุด


        และย้ำอีกครั้งนะ คำว่า"ติวเตอร์"คือผู้ทำหน้าที่สอนหรือถ่ายทอดวิชาความรู้เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากการสอนหรือการถ่ายทอดความรู้


4. ได้รับการติดต่อแบบไร้ที่มา


        หากมีไลน์จากคนแปลกหน้าหรือโทรศัพท์เข้ามาหาเราแล้วบอกว่า สนใจอยากให้เราไปเป็นติวเตอร์ให้กับสถาบันเค้า หรือบางคนเคยเจอแบบแอดไลน์มาแล้วบอกว่า พอดีเจอคนที่อยากเรียนด้วย แต่ให้เราไปคุยกับอีกคนนึง นี่แหละไอ้พวกนายหน้า100% คำพูดมันกลับกลอกไปได้ร้อยแปดพันเก้า ถ้ารู้ตัวว่าโดนแล้วล่ะก็พาตัวเองออกมาให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้เช่นกัน 


5. กดราคาค่าตอบแทน


        เห็นมาหลายที่แล้วโดยเฉพาะสถาบันที่มีวิชาที่สอนการใช้ทักษะยากๆ ไม่ว่าวิชาอะไรก็ตาม ไอ้พวกดงโจรพวกนี้มันจะกดราคาต่อชม.ไม่ถึง300 ซึ่งเหล่าซือคิดว่าน่าเกลียดมาก บางที่กดราคาชม.ละ100-150/ชม.ก็มี ข้อมูลล่าสุดที่ได้มามีติวเตอร์คนนึงโดนกด 40/ชม. เลยบอกเค้าว่าออกมารับสอนเองเหอะ


        จริงๆ แล้วยังมีกลลวงที่ไอ้พวกมิจฉาชีพในคราบสถาบันการศึกษามันใช้หว่านล้อมให้ติวเตอร์มาทำงาน เราทำอะไรมันไม่ได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราทำได้คือหาหนังสือแนวจิตวิทยามาอ่านมาศึกษาเพิ่ม เพื่อให้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อมันอีก หรือศึกษาจากช่องในยูทูปต่างๆก็ได้ และอย่าลืมนะว่าออกห่างจากสถาบันไปแล้วมันจะไม่แปลงร่างเป็นมิจฉาชีพในรูปแบบอื่น ยุคนี้เราต้องระวังทุกฝีก้าว อย่าชะล่าใจเด็ดขาด!!



ในแง่นักเรียน/ผู้ปกครอง:

1. หว่านล้อมด้วยคำพูดขายฝันเกินจริงที่เกี่ยวโยงถึงอนาคตบุตรหลานในระยะยาว


        
        ทำนองที่ว่า "สมัครเรียนกับเราแล้วลูกคุณจะสอบติดแน่นอน"/ "เรียนแล้วเอาไปใช้ได้ตลอด"/ "ถ้าไม่เรียนพลาดโอกาสนะ ลูกคุณมีสิทธิ์สอบตกนะ" หรืออะไรแนวๆ นี้ ถ้าเจอ ให้ตั้งสติให้มั่นก่อนจะเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบากไปให้มันถลุงเล่น

        จริงๆ ไม่มีไรมาก ไอ้พวกนี้มันแค่ใช้จิตวิทยาหลอกล่อให้คนเคลิ้มไปกับคำพูดแกมข่มขู่และหวาดกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากไปหลงเชื่อมัน สิ่งที่จะสูญเสียไปคือเงินค่าคอร์สเรียนแพงหูฉีกเกินความจำเป็นจริงของบุตรหลาน และหากดวงซวยไปเจอสถาบันhereๆแล้วล่ะก็ จะเจ็บกระดองใจยันลูกบวชเลยละ จากประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับสถาบัน สันดานมันhereเอาเปรียบติวเตอร์และนักเรียนแทบทุกที่(แม้แต่สถาบันที่ถูกกฎหมาย) เพราะฉะนั้น เวลาเจอคนของสถาบันมาหว่านล้อมต้องตั้งสติให้มั่นและใจแข็งเข้าไว้ อย่าไปเคลิ้มตามมัน ฝึกฝนได้โดยการฟังธรรมะเยอะๆ(ในยูทูปมีเยอะแยะ)


2. เจอติวเตอร์ที่ไม่ช่ำชองในวิชาที่สอน


        หากสมัครเรียนแล้วเจอติวเตอร์ประเภทไม่ได้เก่งจริงตามที่มันโฆษณาไว้ สอนไปเสิร์ชกูเกิลไป หรือชอบติดคำพูดที่ว่า"เดี๋ยวไปค้นคว้ามาให้" แปลว่าที่นี่ไม่ได้ดีจริง และติวเตอร์คนนั้นก็ไม่ได้เก่งจริง ถ้ารู้ตัวแล้วละก็ เผ่นเลย ไปหาติวเตอร์ดีๆสอนเหอะ ติวเตอร์อิสระดีๆยังมีอีกเพียบ


3. เก็บค่าเรียนแพงเกินเหตุ

        
        กรณีนี้จะเจอกับสถาบันที่มีสอนกวดวิชาเข้าคณะทางแผนวิทย์ เช่น แพทย์ วิศวะ เภสัช วิทยาศาสตร์ หรือสอนภาษาต่างประเทศที่มีภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น หรือภาษาอื่นๆที่เก็บค่าเรียนหลักหมื่นขึ้นไป แต่ติวเตอร์ที่เค้าสอนดีจริงๆก็มี อันนี้นักเรียนและผู้ปกครองต้องเลือกให้ดี ทางที่ดีคือลองขอทดลองเรียนดูก่อน ถ้าแนวสอนของติวเตอร์ท่านนั้นถูกจริตเราจริงๆค่อยจ่ายเงินลงคอร์สเรียนกับเค้า


        สุดท้ายนี้จะยังปิดท้ายบทความเหมือนเดิม ใครไม่ชอบเลื่อนผ่านไป ขออภัยที่โลกสวยไม่เป็น


และฝากถึงพวกสถาบันที่ทำตัวเป็นมิจฉาชีพ
กฎหมายอาจมีอายุความ แต่กฎแห่งกรรมไม่มีอายุความ


-- Tutor Fha --


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha



วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564

การเรียนพิเศษกวดวิชากับสถาบัน นายหน้า หรือเรียนกับติวเตอร์โดยตรงแบบไหนดีกว่ากัน????


        นับว่าเป็นดราม่าค่อนข้างยืดเยื้อสำหรับการเจอนายหน้าเก็บค่าแนะนำกับติวเตอร์แพงมากเกินเหตุ และในขณะเดียวกันผู้เรียนบางจำพวกก็มักจะไปให้ราคากับนายหน้าหรือสถาบันที่เค้าโฆษณาขายฝันเกินจริง วิชาอื่นเหล่าซือไม่รู้นะ จะพูดแต่ในมุมของวิชาภาษาจีนละกัน แต่จากที่ศึกษาหาข้อมูลมา ติวเตอร์ส่วนใหญ่มักไม่พอใจที่โดนสถาบันหรือนายหน้าเอาเปรียบ ซึ่งเหล่าซือก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ไม่พอใจ หากวิเคราะห์และชั่งน้ำหนักอย่างสมเหตุสมผลอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พวกสถาบันเค้าเอาเปรียบติวเตอร์กับนักเรียนเกินไปจริงๆ    

โดยจะอธิบายในทั้งมุมของติวเตอร์ และนักเรียนนะคะ


มุมของติวเตอร์:

       

        จากที่เคยหลวมตัวเข้าไปทำงานให้กับสถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่งค่อนข้างจะมีชื่อเสียงแบบมึนๆ ข้อดีมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นข้อเสีย แต่ยังไงก็จะอธิบายอย่างละเอียดละกัน


ข้อดี    1. หาคนมาให้เราสอนเยอะ

ข้อเสีย 1. ได้ค่าตอบแทนไม่คุ้มกับความรู้ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา พูดง่ายๆ เงินเดือนน้อยมาก ไม่คุ้มเหนื่อยเลย

            2. ถ้าเจอนักเรียนน่ารักก็โชคดีไป แต่ถ้าดวงซวยเจอนักเรียนประเภทเฮงซวยนี่ปวดหัวเลย อยู่ๆ ก็เทเราซะงั้น ไม่ฟังคำแนะนำของอาจารย์ผู้สอนเลย เอะอะจะเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เหมือนเอาเงินมาโยนทิ้งเล่นๆ เรียนเหมือนไม่อยากเรียน (ไม่ได้ว่านักเรียนทุกคนนะ คนที่เคยเรียนกับเหล่าซือแล้วโอเคกับแนวการสอนของเหล่าซือก็รักษาความน่ารักความตั้งใจต่อไปค่ะ ที่พูดนี่คือนักเรียนบางคนเท่านั้น)

           3. แทบไม่มีเวลากินข้าว เพราะเจ้าหน้าที่แอดมินเอาแต่ประโคมนักเรียนมาให้เราสอน

           4. ติวเตอร์เสียสุขภาพจิต

           5. ทางสถาบันนึกอยากจะเปลี่ยนนักเรียนก็เปลี่ยนซะงั้น ไม่แจ้งเหตุผลอะไรเลย

           6. เวลาเจอปัญหาอะไรที่เกิดจากความผิดพลาดในการทำงานของเจ้าหน้าที่ทางสถาบันเค้ามักจะไม่ฟัง ชอบพูดจาให้ตัวเองพ้นผิด โยนขี้ใส่คนอื่น ปากบอก "รับทราบค่ะ" แต่ไม่คิดจะลงมือแก้ปัญหาอะไรเลย ทำผิดแล้วก็ไม่ยอมรับผิด ซึ่งเวลาเหล่าซือทำงานแล้วเจอปัญหาแบบนี้มันส่งผลต่ออารมณ์ของเราในวันนั้นด้วยนะ มันแสดงถึงความไม่มืออาชีพในการทำงานของเจ้าหน้าที่สถาบัน 


มุมของนักเรียน:

ข้อดี    1. วางจำนวนเงินไป เดี๋ยวทางสถาบันหรือนายหน้าก็หาติวเตอร์มาให้เราเองตามเรทราคาที่นักเรียนกำหนด


ข้อเสีย  1. หากนักเรียนสักแต่จะเอาค่าเรียนถูกๆ อย่างเดียว ก็อาจจะได้ติวเตอร์ที่ยังไม่เก๋าประสบการณ์มาสอน ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อความรู้ที่เราจะได้รับในระยะยาว แล้วก็ต้องเปลี่ยนติวเตอร์ไปเรื่อยๆ ของดีราคาถูกมันไม่มีในโลกอยู่แล้ว หากอยากจ่ายค่าเรียนถูกๆ ก็อาจจะไปเจอติวเตอร์มือสมัครเล่น ยังไม่ช่ำชองในวิชาที่ตัวเองสอนเท่าที่ควร(ก็สมกับราคาที่นักเรียนรีเควสมาไง)

             2. ในกรณีที่นักเรียนไม่ได้ติวเตอร์ที่ถูกใจมักจะไปฟูมฟายตามเพจต่างๆ ว่าหาครูสอนไม่ได้ซักที ซึ่งแต่ละคนก็ตรรกะความคิดค่อนข้างที่จะบิดเบี้ยวพอควร เคยเจอคนโพสต์หาติวเตอร์สอนภาษาจีนแค่ชม.ละ 80 เอิ่มนะ ซึ่งบางคนเสียเวลาหาติวเตอร์ตามเงื่อนใข(บ้าๆ บอๆ)ที่ตัวเองตั้งขึ้นมาจนไม่ทันเรียนไม่ทันสอบก็มี

            3. หา passion ในการเรียนไม่เจอ เพราะไปเชื่อเซลล์ขายคอร์สเรียน เซลล์บางคนเค้าอาจจะไม่มีความรู้ในการเรียนภาษาจีน เค้ามุ่งแต่จะทำยอดขายให้สถาบัน ถ้าเค้าทำสำเร็จเค้าก็ได้รับเงินเดือนและค่าคอม แต่นักเรียนจำพวกนี้มักไม่เชื่อฟังคำแนะนำของติวเตอร์หรืออาจารย์ผู้สอน สุดท้ายก็เสียเงินค่าคอร์สเรียนไปฟรีๆ แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็มี เพราะการแนะนำคอร์สเรียนควรจะคุยกับอาจารย์ผู้สอนโดยตรงมากกว่า เพราะติวเตอร์จะผ่านประสบการณ์สอนนักเรียนมาเยอะ จะมองออกว่าคอร์สไหนเหมาะสมกับนักเรียนระดับไหน ถ้าเป็นสถาบันเค้าไม่สนหรอก เค้าสนเงินอย่างเดียว แล้วเค้าก็ไม่สนด้วยว่าเราเรียนไปจะได้รับความรู้เต็มเม็ดเต็มหน่วยรึป่าวเพราะถือว่าจ่ายเงินแล้วก็จบกัน

        

        
        ที่วิเคราะห์มาทั้งหมดคือจากประสบการณ์ที่ทำงานในสายอาชีพนี้ค่อนข้างนาน และอยากให้นักเรียน
หรือใครหลายๆ คนที่กำลังมองหาติวเตอร์ อย่าไปหลงเชื่อคำโฆษณาขายฝันเกินจริงของสถาบันมากเกินไป และไม่ควรไปให้ค่าสถาบันพวกนี้เพียงแค่เพราะฉากหน้ามันดูน่าเชื่อถือ เพราะคนที่เค้าเหน็ดเหนื่อยและทุ่มเทกับการสอนคือติวเตอร์ ไม่ใช่นายหน้าหรือสถาบัน คนเก่งจริง คนที่ควรให้คุณค่าจริงๆ คือติวเตอร์ เพราะฉะนั้น ควรให้ราคากับติวเตอร์ที่เค้าทุ่มเทกับการสอนการทำงานอย่างเต็มที่จะดีกว่า ส่วนเรื่องค่าเรียน การเรียนแบบติดต่อกับติวเตอร์โดยตรงจะเซฟค่าใช้จ่ายมากกว่าการสมัครเรียนผ่านนายหน้าหรือสถาบัน ซึ่งติวเตอร์จะคิดค่าเรียนแบบสมเหตุสมผลค่ะ ส่วนจะเลือกเรียนแบบไหนดีกว่าก็แล้วแต่นักเรียนจะพิจารณาตามบทความที่เขียนมาทั้งหมดละกัน เพราะมันเป็นหน้าที่ของนักเรียนหรือผู้บริโภคซึ่งก่อนจะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการอะไรละก็ควรคิดหน้าคิดหลัง ชั่งตวงวัดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเสียเงินเรียน ถูกแพงไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สำคัญว่าจ่ายเงินเรียนไปแล้วมันคุ้มค่ากับความรู้ที่เราจะได้รับมารึป่าว เหล่าซือไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินหรือชี้เป็นชี้ตายอะไรทั้งนั้นแหละ

       สุดท้ายนี้ก็จะยังปิดบทความเหมือนเดิมนะ ใครไม่ชอบเลื่อนผ่านไป แค่ฝากไว้ให้คิด ขออภัยที่โลกสวยไม่เป็นค่ะ


                                                                    -- Tutor Fha --


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

การเรียนกับติวเตอร์

            
        ในโลกยุคปัจจุบันที่การเรียนการสอนในโรงเรียนไม่สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน จึงก่อให้เกิดสถาบันกวดวิชาขึ้น และการเรียนกวดวิชาที่มาแรงในโลกปัจจุบันคือ การเรียนกวดวิชากับติวเตอร์โดยตรง

             
        จากประสบการณ์ของพี่โดยตรงทั้งด้านการเรียนและการทำงาน พี่คิดว่าระบบการศึกษาของประเทศเราที่ควบคุมโดยกรมสามาญศึกษานั้นยังจัดอยู่ในขั้นแย่และแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ดองค้างมาข้ามภพข้ามชาติ ที่ควรจะแก้กลับไม่แก้ บางทีก็ปรับปรุงมาแล้วแต่ก็เหมือนไม่ปรับ ภาระจึงมาตกอยู่กับนักเรียน นักเรียนหลายคนที่เรียนที่โรงเรียนมาแล้วไม่เข้าใจเนื่องจากอ.ไม่สอนหรือปัญหาอะไรก็ตามแต่ stepต่อไปในการแก้ปัญหาคือหาที่เรียนพิเศษ บางคนอาจไปเรียนกับทางสถาบัน บางคนเรียนกับพี่ติวเตอร์ อันนี้ก็แล้วแต่น้องๆแต่ละคนว่าชอบการกวดวิชาแบบไหนเพราะสไตล์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้น พี่ตัดสินไม่ได้หรอกว่าการเรียนกวดวิชาแบบไหนดีกว่าแบบไหน ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู้กับว่าเราชอบเรียนพิเศษสไตล์แบบไหน หากเรารู้ตัวเองว่าเป็นคนหัวช้า ตามเพื่อนไม่ค่อยทัน ไม่ชอบให้ใครมาคอยกวนใจเวลาเรียน ไม่กล้าถามอ.ท่ามกลางชั้นเรียน ลักษณะแบบนี้เหมาะที่จะเรียนกับติวเตอร์หรืออ.ตัวต่อตัว แต่ถ้าน้องชอบเรียนเป็นกลุ่ม ชอบบรรยากาศการเรียนคนเยอะๆ ไม่ชอบการเรียนแบบตัวต่อตัว ลักษณะนี้เหมาะกับการเรียนตามสถาบัน

และจากนี้ไป คือข้อดีของการเรียนกวดวิชาโดยตรงกับติวเตอร์:


1. เมื่อเราสงสัยหรือมีคำถาม เราสามารถถามพี่ติวเตอร์ได้โดยตรง

           
        น้องๆที่มาเรียนกวดวิชากับพี่ไม่ว่าจะระดับม.ปลายหรือมหวิทยาลัย สิ่งที่พี่เจอทุกเคสเลยก็คือคำถามจากบทเรียนที่ค้างคาใจมาจากที่โรงเรียนหรือมหาลัย อันนี้ตัวพี่เองไม่เคยคิดรำคาญหรือเบื่อในสิ่งที่น้องๆสงสัยหรืออยากถามเลยแม้แต่นิดเดียว พี่กลับชอบให้น้องๆตั้งคำถามซะด้วยซ้ำ เพราะการที่น้องๆรู้จักตั้งคำถามมันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าน้องใส่ใจต่อสิ่งๆนั้น และได้เกิดการเรียนรู้ต่อสิ่งๆนั้นขึ้นแล้ว ดังนั้น หากเวลาเรียนกับพี่แล้วอยากถามก็ถามมาเหอะ พี่ยินดีไขข้อข้องใจของน้องๆทุกคนอยู่แล้วค่ะ


2. วัน-เวลาเรียนไม่ได้ล็อคตายตัว

           
        เวลาที่มีน้องๆนักเรียน-นศ.มาเรียนกับพี่ พี่ให้อิสระในการเลือกวัน-เวลาเรียนเลยค่ะ อยากเรียนครั้งนึงกี่ชม.ก็ได้ ขออย่างเดียวคืออย่าเอาเวลาเรียนของเราไปทับกับเวลาเรียนของนักเรียนเจ้าอื่นก็พอ หรือต้องการเรียนนานเท่าไหร่ก็ได้ เพราะพี่เองไม่ได้บังคับว่าจะต้องเรียนให้ได้ภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้นจึงจะจบหลักสูตร เพราะประสิทธิภาพการเรียนรู้ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนเรียนรู้เร็วก็จบหลักสูตรเร็ว บางคนเรียนรู้ช้าก็จบหลักสูตรช้า แต่จะช้าหรือเร็วนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง รับรองว่าเรียนกับพี่ไปแล้วน้องจะเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านภาษาติดตัวไปอย่างแน่นอน


3. ชำระค่าเรียนตามจริงอย่างสมเหตุสมผล

           
        หากน้องไปสมัครเรียนตามสถาบัน ทางสถาบันเค้าจะล็อคเวลาเรียนที่ตายตัวมาและมักจะไม่ชดเชยเวลาที่เราขาดเรียนไปให้ พูดง่ายๆก็คือลงคอร์สเรียนเองไว้ หากช่วงเวลาที่เราลงไว้นั้นเกิดป่วยหรือติดธุระขึ้นมากะทันหันทำให้ไม่สามารถไปเรียนได้ จำนวนเงินนั้นเราก็เสียไปเลย บางสถาบันอาจจะมีชดเชยแต่บางสถาบันอาจจะไม่ ขึ้นอยู่กับกฎและเงื่อนไขของทางสถาบันนั้นด้วย แต่ถ้าน้องหาติวเตอร์เรียนเองน้องจะไม่ต้องเจอกับปัญหานี้อีกเลย สำหรับพี่พี่จะคิดค่าเรียนแค่ตามจำนวนที่เรามีการเรียนการสอนกันจริงๆ วันไหนที่น้องติดธุระไม่สามารถมาเรียนได้ก็จะไม่คิดค่าใช้จ่าย


4. หนังสือเรียนและเอกสารประกอบการเรียนมีให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม

           
        หนังสือเรียนและเอกสารประกอบการเรียนต่างๆ ในการเรียนกับพี่ติวเตอร์โดยตรงนั้นน้องจะได้จากพี่ติวเตอร์โดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งการเรียนกับพี่ก็เข่นกันค่ะ หนังสือเรียนที่พี่ใช้จะเป็นของมหาวิทยาลัยภาษาปักกิ่ง(BLCU) จะไม่ใช้หนังสือที่แต่งโดยคนไทยเลย(ยกเว้นคอร์สพื้นฐาน) เพราะหนังสือเรียนภาษาจีนที่แต่งโดยคนไทยนั้นส่วนตัวพี่คิดว่ายังไม่เหมาะกับใช้ประกอบการเรียนการสอนภาษาจีน บางเล่มเขียนคำแปลผิด บางเล่มเขียนประโยคผิดก็มี(อันนี้เจอมากับตัวเอง) ในเมื่อเราเรียนภาษาจีนหนังสือเรียนควรจะเป็นของทางประเทศจีนหรือไต้หวันจะดีที่สุดค่ะ


5. มีการTestย่อยตามโอกาสเหมาะสม

           
        การTestหรือการสอบย่อยนั้นบางทีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละวิชาและกระบวนการสอนของติวเตอร์แต่ละท่าน ไม่ได้หมายความว่าการเรียนกับติวเตอร์ทุกคนจะต้องมีการสอบย่อยเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นวิชาที่พี่สอน พี่จะให้คำศัพท์น้องๆไปท่องสัปดาห์ละ 10 คำ และก่อนที่จะมีการเรียนการสอนเราจะสอบเขียนคำศัพท์ จากนั้น จะเป็นการสอบอ่านตัวจีนล้วนๆโดยที่ไม่มีพินอินกำกับ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้น้องๆเริ่มอ่านตัวจีนแบบง่ายๆให้ได้โดยที่ไม่มีพินอิน และเป็นการฝึกเรื่องการจำตัวอักษรจีนไปด้วยในตัว

           ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์จากประสบการณ์การศึกษาทั้งในและต่างประเทศ แล้วก็จากประสบการณ์การทำงานจริงของพี่เอง จึงอยากจะส่งต่อแนวคิดดีๆให้น้องๆที่เข้ามาอ่านบทความนี้เท่านั้นค่ะ 

  --Tutor Fha--


สนใจเรียนภาษาจีนกับ Tutor Fha Click!

https://www.facebook.com/Chinesetutorfha

ผู้ปกครองแบบไหนที่ติวเตอร์ไม่Love

                      ได้อ่านเคสที่เป็นนักเรียนไปแล้ว คราวนี้เรามาดูเคสผู้ปกครองกันบ้าง แต่ละคนที่เจอมานี่สุดยอดแห่งผู้ปกครองชั้นเลวที่ติวเต...